วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ณ ห้องประชุม SD- 601 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ได้จัดบรรยายพิเศษสำหรับผู้บริหารระดับสูง (High-Level Executive Talk) ในหัวข้อเรื่อง “Getting Cleantech Innovation to Impact and Scale” โดย Prof. Yet- Ming Chiang (Massachusetts Institute of Technologies, MIT) ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็น “The 100 Most Influential Climate Leaders in Business 2023” จาก นิตยสาร Times และ “The Inaugural Sustainability Leaders List 2024” จาก นิตยสาร Forbes
ภายในงานกล่าวต้อนรับโดย ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC โดยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างสรรค์ผลงานวิจัย และนวัตกรรม ให้เกิดผลกระทบจริงในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และต่อยอดสู่ความยั่งยืน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การบรรยายพิเศษสำหรับผู้บริหารระดับสูง ในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ ให้กับผู้ร่วมรับฟังทุกท่าน นำไปต่อยอด สู่การพัฒนาประเทศในยุคเปลี่ยนผ่านพลังงานและก้าวเข้าสู่การปลดปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์


Prof. Yet-Ming Chiang เป็นผู้บุกเบิก และก่อให้เกิดอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด มาอย่างยาวนาน จนได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำระดับโลกด้านธุรกิจและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยังเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท ด้านพลังงานสะอาดระดับโลกมากมาย อาทิ American Superconductor Corporation (1987), A123 Systems (2001), 24M Technologies (2010), Desktop Metal (2015), Form Energy (2017), Sublime Systems (2020), Propel Aero (2023) เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนรายใหญ่ของโลก ลิเทียมเฟอโรฟอตเฟส (LFP) อย่างบริษัท A123 ที่ได้ก่อตั้งขึ้นบนพื้นฐานของการพัฒนาเทคโนโลยีลิเทียมไอออนแบตเตอรี่ เพื่อแก้ปัญหาการผลิตไฟฟ้า และกลายเป็นแบตเตอรี่หลักในยานยนต์ไฟฟ้าปัจจุบัน
โดยการบรรยายพิเศษ ได้กล่าวถึงเทคโนโลยีสะอาด ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่น่าสนใจ 4 เทคโนโลยี ได้แก่
1. แบตเตอรี่ชนิดเหล็ก-อากาศ (Iron-Air Battery)
ที่มีต้นทุนต่อพลังงานต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับแบตเตอรี่ทุกชนิด และอุตสาหกรรมเหล็กที่มีอยู่บนโลกนี้มาอย่างยาวนาน พร้อมเทคโนโลยีการผลิตที่เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยปัจจุบันที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ได้เริ่มมีการทดลองผลิตและใช้งานในระดับ 1GWh และมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 100 TWh ในปี 2050 โดยใช้กระบวนการผลิต Direct reduced iron (DRI) เพื่อผลิต Fe-air battery ภายใต้นิยาม การกักเก็บพลังงานระยะยาว (Long-Duration Energy Storage)
2. การผลิตซีเมนแบบลดการปลดปล่อยคาร์บอน (Decarbonization Cement Production)
ซีเมนต์ ซึ่งถือว่าเป็น 1 ใน 4 ของอุตสาหกรรมที่มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด (Cement, Steel, Ammonia, และ Ethylene) ด้วยกระบวนการอิเล็กโทรไลต์ซิส (Electrolysis)
3. เซลล์เชื้อเพลิงชนิดโซเดียม-อากาศ (Sodium-air fuel cell)
สำหรับ ใช้ในระบบที่ต้องการความหนาแน่นพลังงานสูงและมีต้นทุนพลังงานไฟฟ้าต่ำ ซึ่งถูกมองไปใช้ในอุตสาหกรรมอากาศยาน อาจจะเป็น เครื่องบินขนาดเล็ก เรือไฟฟ้าขนาดใหญ่ และ รถไฟไฟฟ้า เป็นต้น
4. การลดของเสียจากการทำเหมืองลิเทียม (Zero-Waste Lithium Mining)
ด้วยกระบวนการ Silicate Subtraction Loop ที่มีอุณหภูมิในกระบวนการต่ำกว่า 100 องศาเซลเซียส







