Chanpen Thanomboon – รายงานประจำปี ศูนย์เทคโนโลยีพลังงาน 2021 https://www.entec.or.th/annual-report2021 ENTEC annual report 2021 Thu, 30 Dec 2021 07:14:02 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.entec.or.th/annual-report2021/wp-content/uploads/2021/06/cropped-forward-logo-32x32.png Chanpen Thanomboon – รายงานประจำปี ศูนย์เทคโนโลยีพลังงาน 2021 https://www.entec.or.th/annual-report2021 32 32 สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก https://www.entec.or.th/annual-report2021/th/ardo/ Thu, 30 Dec 2021 04:03:12 +0000 https://www.entec.or.th/annual-report2021/?p=3143 "สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก"]]> 8,118 Views

สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก (สวพ.ทบ.) เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับกองทัพบก มีภารกิจในการวางแผน อำนวยการ ประสานงาน ควบคุม กำกับการและดำเนินการเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาการทางทหาร ทั้งในด้านหลักการและยุทโธปกรณ์ตามที่กองทัพบกกำหนด ตลอดจนการกำหนดและรับรองมาตรฐานยุทโธปกรณ์ภายในกองทัพบก 

พล.ต. สมบุญ เกตุอินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก กล่าวว่า “จากการที่กองทัพบกมีวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมของกองทัพที่มีความหลากหลายเป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่มีการจัดหามาเป็นเวลานานแล้ว จำเป็นต้องมีการดูแลซ่อมบำรุงเพื่อดำรงสภาพให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ” 

“อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมของกองทัพชนิดหนึ่งประสบปัญหาเรื่องแบตเตอรี่สำหรับจ่ายพลังงาน เนื่องจากต้องนำเข้าจากประเทศอังกฤษโดยเรือสินค้าเดินสมุทร ไม่สามารถนำส่งบรรทุกทางเครื่องบินได้อันเป็นไปตามกฎนิรภัยการบินของ ICAO ทำให้การจัดหาแบตเตอรี่มาทดแทนของเดิมที่ชำรุดหมดสภาพมีข้อจำกัด ล่าช้า เพราะต้องรอรวบรวมปริมาณความต้องการให้คุ้มค่าต่อการขนส่งแต่ละครั้ง อีกทั้งการเดินทางใช้เวลานานมาก ทำให้เมื่อแบตเตอรี่มาถึงหน่วยใช้ก็ใกล้หมดอายุการใช้งานแล้ว ดังนั้น หากเราสามารถวิจัยและผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวเองได้ ก็จะช่วยแก้ปัญหานี้ให้คลี่คลาย”

“กองทัพบกโดยสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบกเล็งเห็นว่า ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรที่มีประสบการณ์ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาแบตเตอรี่ทดแทน จึงเกิดความร่วมมือในโครงการวิจัยแบตเตอรี่และเครื่องชาร์จแบตเตอรี่” 

ในส่วนของผลการดำเนินการ พล.ต. สมบุญ กล่าวว่า “การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในการผลักดันผลงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริง ทั้งนี้ต้นแบบงานวิจัยสามารถใช้ทดแทนระบบจัดการพลังงานแบตเตอรี่ (Battery Power Management System หรือ BPMS) ระบบเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีความจุไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 3 เท่า มีน้ำหนักน้อยลง มีขนาดและฟังก์ชันการใช้งานเหมาะสมกับการปฏิบัติภารกิจ เพิ่มประสิทธิภาพระบบจัดการแบตเตอรี่ มีความทนทานผ่านการทดสอบมาตรฐานทางทหาร มีราคาถูก และประหยัดเวลากว่าการจัดหาจากต่างประเทศ” 

“ทีมวิจัยสามารถดำเนินโครงการบรรลุเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์ ช่วยสร้างนวัตกรรมด้านพลังงานแบตเตอรี่ให้แก่กองทัพบกนำมาซึ่งการตอบสนองนโยบายของกองทัพบกประการหนึ่งคือ ‘ไทยทำ ไทยใช้’” พล.ต. สมบุญ กล่าวแสดงความชื่นชม

ในแง่ของการขยายผล พล.ต. สมบุญ กล่าวว่า “กองทัพบกมีเป้าหมายจะพัฒนาต่อยอดและขยายผลงานวิจัยดังกล่าวไปสู่ระบบแบตเตอรี่ของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมอื่นๆ ที่ประจำการในกองทัพ หรือระบบพลังงานทดแทนต่อไป” 

สำหรับปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นนั้น พล.ต. สมบุญ กล่าวว่า “การขยายผลงานวิจัยไปใช้งานในกองทัพบกโดยมุ่งไปสู่ระดับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศมีหลายปัจจัยที่เป็นอุปสรรค ได้แก่ ปัจจัยเรื่องเวลา เนื่องจากวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมของกองทัพต้องมีมาตรฐานสูงกว่ามาตรฐานการใช้งานทั่วไป การใช้งานวิจัยช่วยแก้ไขปัญหาบางกรณีต้องใช้เวลามากทั้งการวิจัยและการทดสอบให้ได้มาตรฐาน จึงไม่ทันเวลาที่จะแก้ปัญหาเร่งด่วนที่เผชิญได้ ประกอบกับการที่ต้องทดลองและทดสอบหลายๆ ครั้ง เพื่อให้เกิดความมั่นใจในผลงานวิจัยว่าผ่านมาตรฐาน และสามารถใช้งานได้เท่าเทียมหรือดีกว่าที่จัดหาจากแหล่งผลิตซึ่งส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศก็ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามมาด้วย”

“นอกจากนั้นผลงานวิจัยส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมของกองทัพบกมีปริมาณความต้องการในการผลิตใช้งานน้อย (economy of scale) เมื่อเปรียบเทียบกับการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม ประกอบกับกำแพงภาษีการนำเข้าวัตถุดิบ และภาษีธุรกิจในการดำเนินการผลิตทุกขั้นตอนทำให้มีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และเมื่อเทียบกับการลงทุนเพื่อสร้างสายการผลิตแล้วหลายผลงานอาจจะไม่คุ้มค่าหรือต้นทุนสูงกว่าจัดหาจากต่างประเทศจึงเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการผลักดันให้ภาคเอกชนของไทยดำเนินการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม”

“อย่างไรก็ตาม การแสวงหาความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนในการวิจัย พัฒนา ประยุกต์ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความต้องการของกองทัพในการดำรงสภาพวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมของกองทัพให้มีความพร้อมตลอดเวลานั้นแม้ว่าการวิจัยต้องใช้ทรัพยากรและลงทุนสูง แต่เมื่อสามารถดำเนินการไปสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศได้แล้วจะคุ้มค่าในระยะยาว เพราะงบประมาณทั้งหมดจะอยู่ภายในประเทศ เริ่มตั้งแต่งบประมาณบุคลากร การทดลอง การทดสอบ การบริหารงานวิจัย การรับรองมาตรฐาน การผลิต และการมีบริการหลังการขายที่ดีสามารถใช้เวลาจัดหา และส่งมอบทันเวลาจะเป็นปัจจัยบวกสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว และหากมีการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจังในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรการภาษี ระเบียบข้อบังคับ หรือโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แล้วก็น่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง ราคาก็ถูกลงตามไปด้วย จะทำให้เกิดผลงานวิจัยนำไปสู่อุตสาหกรรมในประเทศ หรือ S-Curve 11 ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีอย่างแน่นอน”

พล.ต. สมบุญ ให้ข้อแนะนำว่า “ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีขีดความสามารถด้านการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานการวิจัยที่สามารถสนับสนุน และตอบสนองความต้องการของกองทัพบกและของหน่วยงานต่างๆ ในประเทศอยู่ในระดับที่ดีมีมาตรฐานอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องปฏิบัติการที่สามารถทดสอบและรับรองมาตรฐานต่างๆ ตามมาตรฐานสากลอย่างไรก็ตาม หลายองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนยังไม่ทราบในขีดความสามารถของ สวทช. หากได้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้องค์กรต่างๆ ได้รับทราบก็จะเกิดความร่วมมือที่หลากหลายและเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น”

]]>
ต้นแบบระบบส่งกำลังและระบบขับเคลื่อนสำหรับเรือไฟฟ้า https://www.entec.or.th/annual-report2021/th/electric-boats/ Wed, 29 Dec 2021 09:40:44 +0000 https://www.entec.or.th/annual-report2021/?p=3123 "ต้นแบบระบบส่งกำลังและระบบขับเคลื่อนสำหรับเรือไฟฟ้า"]]> 2,283 Views

ต้นแบบระบบส่งกำลังและระบบขับเคลื่อนสำหรับเรือไฟฟ้าได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อลดการนำเข้าเทคโนโลยี และเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมการผลิตเรือไฟฟ้าและยานพาหนะไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ระบบส่งกำลัง สำหรับเรือไฟฟ้าประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 250 กิโลวัตต์ จำนวน 2 ตัว ใช้เป็นต้นกำลังในการขับเคลื่อน แทนที่เครื่องยนต์สันดาปภายใน และชุดแบตเตอรี่แรงดันสูงจำนวน 2 ชุด ที่มีแรงดันไฟฟ้ารวม 600-700 โวลต์ และความจุรวม 312.5 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สำหรับกักเก็บและจ่ายพลังงานให้แก่เรือไฟฟ้า

ผลการดำเนินงานในปี 2564

  1. ระบบส่งกำลังและระบบขับเคลื่อนสำหรับเรือไฟฟ้าได้รับการออกแบบโดยพัฒนาชุดกล่องต่อไฟฟ้า แรงดันสูงที่สามารถแยกระบบจ่ายภาระทางไฟฟ้าและระบบอัดประจุไฟฟ้าออกจากกัน
  2. ระบบป้องกันอันตรายทางไฟฟ้าแรงดันสูงที่ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
  3. ต้นแบบระบบส่งกำลังและระบบขับเคลื่อนสำหรับเรือไฟฟ้าในระดับอุตสาหกรรม
  4. การถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบส่งกำลังและระบบขับเคลื่อนสำหรับเรือไฟฟ้าสู่ภาคอุตสาหกรรม

ทีมวิจัย

ดร. ธัญญา แพรวพิพัฒน์, ดร. มานพ มาสมทบ, ดร. พิมพา ลิ้มทองกุล, ดร. สุมิตรา จรสโรจน์กุล, ดร. บุรินทร์ เกิดทรัพย์ (เนคเทค), นายปกาศิต สมศิริ (เนคเทค) และนายประพนธ์ จิตรกรียาน (เนคเทค)

]]>
ชุดแบตเตอรี่และเครื่องชาร์จแบตเตอรี่สำหรับการใช้งานด้านความมั่นคง https://www.entec.or.th/annual-report2021/th/battery-packs/ Wed, 29 Dec 2021 09:05:35 +0000 http://localhost/wordpress/pixgraphy/?p=39 "ชุดแบตเตอรี่และเครื่องชาร์จแบตเตอรี่สำหรับการใช้งานด้านความมั่นคง"]]> 2,337 Views

ที่มา

ในปัจจุบันเครื่องมือและอุปกรณ์ด้านความมั่นคง มักประกอบด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความซับซ้อนสูงและอาศัยแบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงาน หน่วยงานด้านความมั่นคงจำเป็นต้องจัดซื้อและนำเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวมาจากต่างประเทศในราคาสูง หากเครื่องมือและอุปกรณ์ชำรุดหรือแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ ก็ย่อมจะส่งผลให้ไม่สามารถใช้งานอุปกรณ์ได้เต็มประสิทธิภาพ ความสามารถในการผลิตแพ็กแบตเตอรี่สำหรับการใช้งานภายในประเทศโดยเฉพาะสำหรับงานด้านความมั่นคงจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด

ชุดแบตเตอรี่และเครื่องชาร์จแบตเตอรี่สำหรับการใช้งานด้านความมั่นคง เป็นผลงานจากการพัฒนาแพ็กแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและเครื่องชาร์จ โดยเป็นงานวิจัยร่วมระหว่างศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ศล.) ศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (ศอ.) และศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก (สวพ.ทบ.) ด้วยทุนสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ปี 2558 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ปี 2560 และโครงการเร่งสนับสนุนเร่งการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (Research Gap Fund, อว.) ปี2562 ปัจจุบันผลงานชิ้นนี้ได้ยกระดับการผลิตและการใช้งานจากระดับภาคสนามไปเป็นการผลิตและใช้งานจริงในระดับภาคอุตสาหกรรม โดยได้ถ่ายทอดผลงานวิจัยให้แก่บริษัทออสก้า โฮลดิ้ง จำกัด เรียบร้อยแล้ว

เป้าหมาย

เพื่อให้ประเทศไทยสามารถผลิตแพ็กแบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐาน สำหรับการใช้ในงานด้านความมั่นคงในราคาที่ต่ำกว่าการสั่งซื้อจากต่างประเทศ สร้างความสามารถด้านการผลิตและการให้บริการด้านแพ็กแบตเตอรี่อย่างยั่งยืน สนับสนุนอุตสาหกรรมความมั่นคง และต่อยอดให้ภาคอุตสาหกรรมสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้ประเทศ โดยสร้างร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับภาคเอกชนเพื่อการผลิตและต่อยอด

ทีมวิจัยทำอย่างไร

ทีมวิจัยดำเนินการการวิจัยพัฒนาต้นแบบและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตต้นแบบแพ็กแบตเตอรี่ให้แก่บริษัทเอกชน โดยมีรายละเอียดการดำเนินการดังนี้

  • เก็บข้อมูลการใชังานของผลิตภัณฑ์เดิมและความต้องการการใช้งานเพิ่มเติม จากการสัมภาษณ์ผู้ใช้ ณ สถานที่ใช้งานจริง
  • ดำเนินการออกแบบผลิตภัณฑ์ ทดสอบความเป็นไปได้ในการผลิต
  • ผลิตต้นแบบทดสอบในห้องปฏิบัติการด้านประสิทธิภาพและความทนทาน
  • ทดลองใช้ในภาคสนามเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี
  • ดำเนินการทำ materials flow และกระบวนการผลิต เพื่อพร้อมถ่ายทอด
  • ถ่ายทอดภาพรวมของผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต เพื่อให้บริษัทเอกชนเข้าใจกระบวนการผลิตอย่างละเอียด
  • ประเมินความพร้อมของบริษัทเอกชน พร้อมทั้งให้คำแนะนำในกระบวนการสั่งซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์เครื่องมือที่จำเป็น รองรับการผลิตเพิ่มเติม
  • อบรมพื้นฐานทางเทคนิค ขั้นตอนการผลิต การประกอบผลิตภัณฑ์ การใช้งานเครื่องจักรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บริษัทเอกชนสามารถดำเนินการผลิตได้จริง และผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานภายใต้การควบคุมของทีมวิจัย
  • ติดตามการทดสอบการใช้งานจริงในระดับภาคสนามที่ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตหรือแพ็กแบตเตอรี่สู่บริษัทเอกชน

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564 บริษัทออสก้า โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดผลงานวิจัย ได้มีพิธีส่งมอบชุดแบตเตอรี่ที่ผลิตขึ้นโดยบริษัทฯ ให้แก่ กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 31 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ป.1 พัน.31 รอ. ) เพื่อนำไปใช้งาน ในการนี้ได้มี พล.ต. สมบุญ เกตุอินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก (ผอ.สวพ.ทบ.) เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีส่งมอบ

ผลงานวิจัย

แพ็กแบตเตอรี่:

  • มีประสิทธิภาพความจุสูงกว่าเดิม 3 เท่า
  • สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องชาร์จ
  • สามารถชาร์จได้เร็วในเวลา 3-4 ชั่วโมง
  • มีความทนทาน อายุการใช้งานยาวนาน และสามารถซ่อมบำรุงได้ง่าย
  • ผ่านการทดสอบความปลอดภัยในระดับเซลล์ และระดับแพ็ก
  • ลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีต้นทุนต่ำกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ประหยัดงบประมาณ
  • ยกระดับขีดความสามารถในการผลิตแพ็กแบตเตอรี่ในภาคอุตสาหกรรมไทยด้านความมั่นคงที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล

สถานภาพการวิจัย

    • ผลงานแพ็กแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและเครื่องชาร์จ
    • ได้ขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย ฉบับเพิ่มเติมเดือนธันวาคม 2563
    • บริษัท ออสก้า โฮลดิ้ง จำกัด ได้รับการถ่ายทอดผลงานวิจัย และได้ส่งมอบผลงานให้กับลูกค้า

แผนงานวิจัยในอนาคต

ดำเนินการวิจัยและพัฒนาออกแบบแพ็กแบตเตอรี่และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องสำหรับผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าและในอุตสาหกรรมอื่นๆ

ขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย ฉบับเพิ่มเติม เดือนธันวาคม 2563 โดยสำนักงบประมาณ ด้านครุภัณฑ์ยุทโธปกรณ์ความมั่นคง

รายชื่อทีมวิจัย

ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล, ดร. ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม, ดร.กิตติพงศ์ เกษมสุข, ดร.จิราวรรณ มงคลธนทรรศ, ดร.ธัญญา แพรวพิพัฒน์, ดร.มานพ มาสมทบ, นายวิเศษ ลายลักษณ์, ดร.ขวัญชัย ตันติวณิชพันธุ์ , ดร.ชยุตม์ ถานะภิรมย์, นายภัทรกร รัตนวรรณ์, นายณภัทร โคตะ, นางสาวเชีย เจียยี่, นายเมทนี กิจเจริญ  และนายพีระพงษ์ ฟักเขียว

ติดต่อ

ปภาวี ลิขิตเดชาโรจน์ (นักวิเคราะห์)
งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
โทรศัพท์ +66 2564 6500 ต่อ 4306
อีเมล papawee.lik@mtec.or.th

]]>
การผลักดันให้เกิดนโยบายการใช้น้ำมันดีเซล เกรด บี10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศ https://www.entec.or.th/annual-report2021/th/biodiesel-b10/ Wed, 29 Dec 2021 08:59:07 +0000 https://www.entec.or.th/annual-report2021/?p=3070 "การผลักดันให้เกิดนโยบายการใช้น้ำมันดีเซล เกรด บี10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศ"]]> 1,990 Views

ที่มา

ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ร่วมกับ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ดำเนินโครงการสนับสนุนการเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันไบโอดีเซลให้สูงขึ้น โครงการนี้เป็นการผนึกกำลังของหน่วยงานหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สถาบันวิจัยและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจากทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลักดันนโยบายการเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศจากเดิมร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 (บี10) ด้วยนวัตกรรมการเพิ่มคุณภาพไบโอดีเซล และขยายผลให้น้ำมันดีเซล เกรด บี10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป

เป้าหมาย

  • สนับสนุนการใช้ไบโอดีเซลในสัดส่วนที่สูงขึ้น เพื่อช่วยลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศและเพิ่มปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ผลิตได้ภายในประเทศให้มากขึ้น
  • ยกระดับราคาปาล์มน้ำมันให้สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนปาล์มทั่วประเทศ
  • เพิ่มความมั่นใจให้แก่บริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์และประชาชนทั่วไปในการใช้เชื้อเพลิงไบโอดีเซล บี10 โดยการทดสอบการใช้งานจริงในรถยนต์รวมระยะทางกว่า 100,000 กิโลเมตร
  • ส่งเสริมและสนับสนุนการผลักดันนโยบายไบโอดีเซลของประเทศ
  • ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดมลพิษ PM 2.5 เพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทีมวิจัยทำอย่างไร

  • ทีมวิจัยร่วมกับโรงงานผลิตไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ที่ได้รับคัดเลือก 2 แห่ง ดำเนินการขยายกำลังการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลคุณภาพสูง เพื่อสาธิตนวัตกรรมเทคโนโลยีการเพิ่มคุณภาพไบโอดีเซลในเชิงเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ และผลิตไบโอดีเซลคุณภาพสูงออกมาใช้งานได้จริงในระดับ 10,000 ลิตร
  • ทีมวิจัยทำการตรวจสอบคุณภาพไบโอดีเซลให้ผ่านตามเกณฑ์สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น (Japan Automobile Manufacturers Association: JAMA) เพื่อลดการอุดตันของหัวฉีดในเครื่องยนต์และนำไบโอดีเซลไปผสมเป็นน้ำมันดีเซลเกรด บี10 ไปใช้ในการทดสอบวิ่งจริงสำหรับรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถปิคอัพ) จำนวน 8 คันภายใต้เงื่อนไขระยะทาง 100,000 กิโลเมตร ต่อคัน
  • สร้างความมั่นใจให้กับกรมธุรกิจพลังงานในการประกาศมาตรฐานน้ำมันเกรด บี10 โดยการใช้งานจริงในรถยนต์หลากหลายรุ่นกว่า 158 คันคิดเป็นปริมาณน้ำมันมากกว่า 99,000 ลิตร

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 ณ โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส หลานหลวง กรุงเทพฯ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) (ชื่อปัจจุบัน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ภายใต้การสนับสนุนจาก กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แถลงข่าวความสำเร็จการเพิ่มคุณภาพไบโอดีเซล H-FAME ในระดับโรงงานสาธิต และพร้อมทดสอบในรถยนต์ ภายใต้โครงการ “สนับสนุนการเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันไบโอดีเซลให้สูงขึ้น” เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการผลักดันการเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในอนาคต

ผลงานวิจัย

ผลการดำเนินโครงการสนับสนุนการเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันไบโอดีเซลให้สูงขึ้น ช่วยสร้างความมั่นใจในการผลักดันการใช้น้ำมันดีเซลเกรด บี10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป ผลกระทบทางอ้อม คือการช่วยพยุงราคาปาล์มน้ำมัน นับเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากเกื้อหนุนภาคการเกษตรของไทยให้มีอาชีพที่มั่นคง พร้อมส่งเสริมการใช้งานเชื้อเพลิงชีวภาพในปริมาณเพิ่มขึ้น ส่งเสริมพลังงานที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สถานภาพการวิจัย

กรมธุรกิจพลังงานประกาศให้น้ำมันไบโอดีเซลเกรด บี10 เป็นน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐานของประเทศ โดยเรียกชื่อน้ำมันเกรด บี10 เป็นน้ำมันดีเซล มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ส่วนน้ำมันดีเซลที่จำหน่ายในปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น ดีเซล บี7 ยังคงมีจำหน่ายเป็นน้ำมันดีเซลเกรดทางเลือกควบคู่กับน้ำมันดีเซล เกรด บี20

แผนงานวิจัยในอนาคต

การสาธิตใช้งานน้ำมันไบโอดีเซลในสัดส่วนที่สูงขึ้น (บี10 และ บี20) ในรถยนต์มาตรฐานไอเสียยูโร 5/6

รายชื่อทีมวิจัย

ดร.นุวงศ์ ชลคุป, ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล, ดร.มานิดา ทองรุณ, ดร.อุกฤษฎ์ สหพัฒน์สมบัติ, ดร.พีรวัฒน์ สายสิริรัตน์, ดร.วิทูรัช กู๊ดวิน, ดร.ญาติกา สมร่าง, นายปฐมพงศ์ เจนไธสง, นางบุปผา ชมโฉม, นายจิรศักดิ์ อัญชัยศรี, นายอมรพจน์ สืบวงศ์, นายมงคล คณานนท์ และนายธวัชชัย สิงโสม

ติดต่อ

ปภาวี ลิขิตเดชาโรจน์ (นักวิเคราะห์) 
งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
โทรศัพท์ +66 2564 6500 ต่อ 4306
อีเมล papawee.lik@mtec.or.th

]]>
คาร์บอนนำไฟฟ้าเพื่อใช้งานสำหรับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน https://www.entec.or.th/annual-report2021/th/acetylene-black/ Wed, 29 Dec 2021 08:51:11 +0000 https://www.entec.or.th/annual-report2021/?p=3091 "คาร์บอนนำไฟฟ้าเพื่อใช้งานสำหรับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน"]]> 4,688 Views

ที่มา

อะเซทิลีนแบล็ก (acetylene black) เกิดขึ้นในกระบวนการเผาย่อยสลายก๊าซอะเซทิลีนในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี และโดยทั่วมักนำไปใช้เป็นวัสดุในหมึกพิมพ์ สารคอมพาวด์ในผลิตภัณฑ์ยาง และวัสดุสำหรับแบตเตอรี่ประเภทอัคคาไลน์  ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตอะเซทิลีนแบล็กในระดับต้นๆ ของโลก โดยบริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทหนึ่งที่ดำเนินธุรกิจผลิตอะเซทิลีนแบล็กในประเทศไทย

บริษัทฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพของบุคลากรวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) และความพร้อมของเครื่องมือและอุปกรณ์ในการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาวัสดุสำหรับแบตเตอรี่ จึงร่วมมือกับทีมวิจัยของเอ็นเทคในการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อะเซทิลีนแบล็ก เพื่อขยายตลาดรองรับธุรกิจในอุตสาหกรรมใหม่ด้านแบตเตอรี่ รวมทั้งยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์จากการปรับปรุงกระบวนการผลิต สร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของทิศทางพลังงานโลก 

เป้าหมาย

พัฒนาผลิตภัณฑ์อะเซทิลีนแบล็กที่มีสมบัติเหมาะสมสำหรับการใช้งานด้านอุปกรณ์กักเก็บพลังงาน  และสร้างมูลค่าของผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

ทีมวิจัยทำอย่างไร

ทีมวิจัยเอ็นเทค ร่วมกับ บริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)  ดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์อะเซทิลีนแบล็ก โดยมีรายละเอียดการดำเนินงานดังนี้  

  • วิเคราะห์คุณลักษณะและสมบัติของผลิตภัณฑ์อะเซทิลีนแบล็กเดิมที่บริษัทฯ มีอยู่ในเบื้องต้น  พร้อมกับวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการนําไปใช้งานในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
  • วิเคราะห์ตลาดของการใช้คาร์บอนในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ ในด้านปริมาณการใช้งาน ราคา ผู้นําตลาดหลัก และมูลค่าตลาด  
  • วิเคราะห์คุณลักษณะการพัฒนาจากผลิตภัณฑ์อะเซทิลีนแบล็กให้มีสมบัติที่เหมาะสมโดยเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่มีขายอยู่ในตลาด 
  • พัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตอะเซทิลีนแบล็ก เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์อะเซทิลีนแบล็กที่มีคุณลักษณะที่เหมาะสมกับการใช้งานในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ 
  • วิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์อะเซทิลีนแบล็กเกรดใหม่ที่ผลิตได้ ในระดับการนําไปใช้งานจริงในแบตเตอรี่ รวมทั้งพัฒนาสูตรและกระบวนการผสมอะเซทิลีน
  • บัติทางเคมีไฟฟ้าและการนําไปใช้งานจริง
  • พัฒนา Technical Data Sheet ของผลิตภัณฑ์  เพื่อให้บริษัทฯ ใช้เป็นข้อมูลในการนำเสนอแก่ลูกค้า
  • ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับทางบริษัทฯ  

ผลงานวิจัย

จากกระบวนการวิจัยและพัฒนาของทีมวิจัยเอ็นเทคร่วมกับบริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ “Pim-L และ Pim-AL” : ผลิตภัณฑ์อะเซทิลีนแบล็กเกรดพิเศษสำหรับใช้เป็นคาร์บอนนำไฟฟ้าในงานแบตเตอรี่ โดยมีคุณสมบัติพิเศษดังนี้

  • ความบริสุทธิ์สูง (High purity) 
  • ค่าการนำไฟฟ้าสูง (High electrical conductivity) 
  • มีค่า High tap density 
  • สามารถผสมเข้ากับสารเคมีอื่นๆได้ง่าย 
  • ให้ค่า Low electrochemical reactivity ที่ทำให้แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนมีสมดุลในการเก็บและปลดปล่อยพลังงานอย่างเต็มที่หรือชาร์จไฟได้เต็มร้อยและใช้งานได้จนหมด ช่วยยืดอายุการใช้งาน 
  • เหมาะสำหรับนำไปใช้ในตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ประเภท BEV (Battery powered electric vehicle) หรือ Pure-EV ที่ไม่ต้องใช้น้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การวิจัยและพัฒนานี้ ช่วยตอบโจทย์ของบริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์อะเซทิลีนแบล็ก ได้มากกว่า 4 เท่า ทำให้ห่วงโซ่การผลิต เกิดการจ้างงานภายในประเทศ และสร้างฐานองค์ความรู้ที่เข้มแข็งที่สามารถแข่งขันได้ในอุตสาหกรรมตลาดโลก  
Conductive Carbon for Lithium Ion Battery Electrodes High purity, High conductivity, Medium surface area

สถานภาพการวิจัย

ทีมวิจัยเอ็นเทค และบริษัทไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) ร่วมกันพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ อะเซทิลีนแบล็กนำไปสู่การเกิดผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นในอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่ที่มีสมบัติตามความต้องการของตลาดโลก สู่การผลิตจริงในเชิงพาณิชย์โดยมีชื่อของผลิตภัณฑ์ ดังนี้  

  • Pim-AL : สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด
  • Pim-L  : สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน

แผนงานวิจัยในอนาคต

ดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอน ให้มีคุณสมบัติพิเศษสำหรับเป็นแบตเตอรี่รุ่นใหม่ต่อไป 

เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2563 บริษัท ไออาร์พีซี จ􀄞ำกัด (มหาชน) ได้รับเกียรติร่วมออกบูธในการประชุมสมัชชา “BCG : โมเดลเศรษฐกิจ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” จัดโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ณ อิมแพ็คฟอรั่ม ศูนย์การแสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ได้จัดบูธแสดงสินค้า “Pim-L” ผลิตภัณฑ์อะเซทิลีนแบล็กเกรดพิเศษ ส􀄞ำหรับใช้เป็นคาร์บอนตัวเติม (carbon additive) ในงานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน

รายชื่อทีมวิจัย

ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล, ดร.วรวริศ กอปรสิริพัฒน์, ดร.เปรียว เอี่ยมละมัย, นางสาวฝนทิพย์ ธรรมวัฒน์, นางสาวประณุดา จิวากานนท์ และนายธนทร ศรีสุข 

ติดต่อ

ปภาวี ลิขิตเดชาโรจน์ (นักวิเคราะห์)
งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
โทรศัพท์ 02 564 6500 ต่อ 4306
อีเมล papawee.lik@mtec.or.th

]]>
ไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบ: การจัดการพลังงานทดแทน https://www.entec.or.th/annual-report2021/th/ict/ Wed, 29 Dec 2021 08:50:24 +0000 https://www.entec.or.th/annual-report2021/?p=3080 "ไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบ: การจัดการพลังงานทดแทน"]]> 1,972 Views

ที่มา

พื้นที่ชุมชนที่อยู่ห่างไกลและทุรกันดาร มักประสบปัญหาไฟฟ้า และสัญญาณโทรศัพท์ที่เข้าไปไม่ถึง อันเป็นสาเหตุสำคัญที่เป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล และทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำดังกล่าว จึงมีโครงการไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบในพื้นที่ทรงงานตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการนี้เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบันนับเป็นโครงการระยะที่ 3 โดยต่อยอดมาจาก “โครงการนำร่องการบริหารระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในสถานศึกษา และศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาในพื้นที่โครงการตามพระราชดำริฯ” ที่ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 (โครงการระยะที่ 1-2) โดยร่วมกับมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

เป้าหมาย

เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบผสมผสานชนิดอิสระ (Stand-Alone หรือ Off Grid PV/Hybrid System) และระบบติดตามระยะไกลหรือโทรมาตร (Monitoring หรือ Telemetry) พร้อมระบบไอซีทีที่เหมาะสมกับการนำไปใช้งานในพื้นที่ป่าเขาและพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดารและห่างไกลหรือพื้นที่ชายขอบของประเทศ ซึ่งไม่มีระบบจำหน่ายไฟฟ้าของภาครัฐ การต่อยอดการใช้ประโยชน์ในช่วงปี พ.ศ. 2559-2564 มีดังนี้

  • การพัฒนาสมรรถะวิชาชีพครู ตชด. ด้านการประยุกต์ใช้ไอซีที
  • การพัฒนาทักษะอาชีพ เรื่องการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing)ให้แก่นักเรียนในโรงเรียน
  • การพัฒนาระบบบริการพบแพทย์ทางไกล (Telehealth) ให้แก่สุขศาลาพระราชทานและห้องพยาบาลของ รร.ตชด.
  • การส่งเสริมศักยภาพชุมชนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเรื่อง “การผลิตชุดหลอดไฟส่องสว่าง LED แบบพึ่งพาตนเอง”

ทีมวิจัยทำอย่างไร

โครงการระยะที่ 1-2 (พ.ศ. 2551-2558) ดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในโรงเรียนและชุมชนที่อยู่ห่างไกลจำนวน 2 ระบบ ได้แก่ (1) ระบบขนาดเล็ก 480 วัตต์ (Wp) สามารถผลิตไฟฟ้าสูงสุด ประมาณ 1.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/วัน (kW-h/day) และ (2) ระบบแบตเตอรี่ที่สามารถสำรองไฟฟ้าไว้ใช้งานได้นาน 2 วัน โครงการระยะที่ 3 (พ.ศ. 2559-ปัจจุบัน) ดำเนินการออกแบบและพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสานชนิดอิสระ (Stand-Alone หรือ Off Grid PV/Hybrid System) ให้สามารถผลิต พลังงานร่วมกับแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งอื่นที่มีอยู่ในพื้นที่ ได้แก่ พลังงานลม พลังงานน้ำ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า รวมถึงการออกแบบและพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าฯ ให้มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้นและมีความทนทาน นอกจากนี้ยังได้ออกแบบให้มีระบบ Monitoring เพื่อติดตามผลการผลิตไฟฟ้าและการทำงานของระบบ

วันที่ 22 ธันวาคม 2563 ณ รร. ตชด.เฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา (บ้านหม่องกั๊วะ) ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก

ผลงานวิจัย

ระบบผลิตไฟฟ้าฯ สำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่มีขนาดติดตั้งไม่น้อยกว่า 5,000 Wp ต่อแห่ง มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 8.5 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง/วัน มีระบบแบตเตอรี่ที่สามารถสำรองไฟฟ้าไว้ใช้งานได้ 2-3 วันในกรณีที่ฝนตกแสงแดดน้อย และมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลเป็นแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองฉุกเฉิน

ผลิตไฟฟ้ามีรูปแบบดังนี้ การติดตั้งระบบทำได้ง่ายโดยการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ประกอบระบบหรืออุปกรณ์ที่ต่อพ่วงแบบถอดเร็ว สามารถติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ได้ทั้งบนหลังคาอาคารและบนพื้นดิน ระบบมีความซับซ้อนต่ำโดยออกแบบให้สามารถใช้งานและดูแลรักษาได้ง่าย เน้นการบำรุงรักษาเชิงป้องกันมากกว่าการบำรุงรักษาเชิงแก้ไข ทนทานต่อสภาพแวดล้อม โดยการบรรจุอุปกรณ์ไฟฟ้าส่วนที่สำคัญให้อยู่ในตู้หรือกล่องที่มิดชิดเพื่อป้องกัน แมลง ฝุ่น ละอองน้ำ  และเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ชนิดที่รองรับการใช้งานกลางแจ้งและมีมาตราฐาน IP Rating

สถานภาพการวิจัย

โครงการได้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าฯ และถ่ายทอดการใช้ประโยชน์ให้แก่โรงเรียนและชุมชนในพื้นที่สังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.) 12 แห่ง สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) 8 แห่ง และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 1 แห่ง ในปี พ.ศ. 2563 ได้ขยายผลใน รร.ตชด. เพิ่มเติมอีก 2 แห่ง มีผู้ได้รับประโยชน์แล้วมากกว่า 13,000 ราย 1,000 ครัวเรือน ปัจจุบันมีพื้นที่ดำเนินการรวมจำนวนทั้งสิ้น 23 แห่ง

แผนงานวิจัยในอนาคต

ดำเนินการเก็บข้อมูลผลการทำงานของระบบผลิตไฟฟ้าฯ พร้อมศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของการใช้แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนในระยะยาว

การติดตั้งกังหันลม 1 kW ณ ศกร.ตชด.บ้านห้วยโป่งเลา จ.แม่ฮ่องสอน และติดตั้งกังหันน􀄞้ำ 1.6 kW
ณ ศกร.ตชด.บ้านคีรีล้อม จ.ประจวบคีรีขันธ์

รายชื่อทีมวิจัย

ดร.อัศวิน หงษ์สิงห์ทอง, ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์, ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี, ดร.นพดล สิทธิพล, ดร.ทวีวัฒน์ กระจ่างสังข์, นายณัฐกานต์ อุดมเดชาณัติ, นายสุทธินันท์ เจริญเสถียรโชค, นายรังสรรค์ ปลื้มกมล และนางพัทธนันท์ เนาว์ในสิน

ติดต่อ

ปภาวี ลิขิตเดชาโรจน์ (นักวิเคราะห์)
งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
โทรศัพท์ +66 2564 6500 ต่อ 4306
อีเมล papawee.lik@mtec.or.th

]]>
บริษัท ออสก้า โฮลดิ้ง จำกัด https://www.entec.or.th/annual-report2021/th/oska-holding-company-limited/ Wed, 29 Dec 2021 04:11:26 +0000 https://www.entec.or.th/annual-report2021/?p=3147 "บริษัท ออสก้า โฮลดิ้ง จำกัด"]]> 2,100 Views

บริษัท ออสก้า โฮลดิ้ง จำกัด เป็นผู้ประกอบการแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์ไอทีและเครื่องมือทางไฟฟ้าต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้พลังงานจากแหล่งที่พกพาเคลื่อนที่ได้และให้พลังงานสูง (portable power) บริษัทฯ เล็งเห็นว่าแบตเตอรี่เป็นปัจจัยสำคัญ ในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าของประเทศ โดยติดตั้งอยู่ในเครื่องมือต่างๆ ทั้งที่ใช้ในชีวิตประจำวันและในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างหลากหลาย จึงดำเนินการให้บริการประกอบแบตเตอรี่ตามแบบหรือออกแบบแบตเตอรี่ เพื่อให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งานในทุกอุตสาหกรรมมานานกว่า 26 ปี

ลูกค้าของบริษัทฯ มี 2 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มงานโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น การพัฒนาแบตเตอรี่ส􀄞ำหรับการซ้อมรบของกรมการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศทหารเรือ, แบตเตอรี่หุ่นยนต์สำหรับส่งอาหารและส่งเอกสารเพื่อลดการสัมผัส, แบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า/จักรยานไฟฟ้า/ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า (EV tuk-tuk) รวมถึงแบตเตอรี่สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจการของกองทัพ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ได้รับการถ่ายทอดจากสไนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ (2) กลุ่มไลฟ์สไตล์และเอ็นเทอร์เทนเมนต์ เช่น แบตเตอรี่กล้องถ่ายรูป และแบตเตอรี่อุปกรณ์ไอทีต่างๆ

คุณบุษราภรณ์ พรไพศาลศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออสก้า โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “ตลอด 26 ปีที่ผ่านมาเรามองเห็นความสำคัญของการพัฒนาขีดความสามารถของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิทยาการเพื่อเป้าหมายในด้านต่างๆ เช่น เป้าหมายพลังงานที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มระยะเวลาการทำงานของเครื่องมือและอุปกรณ์ เป้าหมายด้านความทนทานเพื่อเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้งาน เป้าหมายลดระยะเวลาในการอัดประจุ เพื่อให้ตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้ได้ในทันที และเป้าหมายความปลอดภัย เพื่อความเชื่อมั่นในการใช้งานและความยั่งยืนในอุตสาหกรรม”

“จากแนวคิดในการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและก้าวทันเทคโนโลยีอยู่เสมอ บริษัทฯ จึงสนใจโครงการวิจัยแพ็กแบตเตอรี่ของ สวทช. ที่ตอบโจทย์แนวคิดในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ประกอบกับงานวิจัยเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทย เป็นการพัฒนาทั้งในด้านประสิทธิภาพพลังงาน (energy efficiency) ที่เหนือกว่าผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศให้คนไทยใช้ของไทย พัฒนาโดยคนไทย และส่งเสริมการนำงานวิจัยไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้อย่างแท้จริง”

“เมื่อถามว่าโครงการวิจัยนี้ช่วยเพิ่มผลิตภาพหรือนวัตกรรมให้แก่บริษัทฯ อย่างไรบ้าง คุณบุษราภรณ์กล่าวว่า “บริษัทฯ มีโอกาสรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นส่วนเชื่อมต่อกับงานวิจัยของ สวทช.นับเป็นงานสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของกองทัพไทย โดยทีมนักวิจัยไทย ผลิตโดยบริษัทเอกชนไทย และนำไปต่อยอดใช้งานได้จริงในเชิงพาณิชย์” “การได้รับความรู้ทางเทคนิคในการประกอบแพ็กแบตเตอรี่จากผู้เชี่ยวชาญของ สวทช. ซึ่งถือเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในระดับสูงสุดของไทยเกี่ยวกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่ เป็นการยกระดับและเสริมศักยภาพการทำงานไปสู่มาตรฐานสากล ช่วยเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ลดของเสียในกระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยตามมาตรฐานขั้นสูงสุด และภายหลังจากการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เราพบว่ามีเทคนิคหลายอย่างที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพ และผลผลิตให้กับสินค้าและบริการอื่นๆ ของบริษัทได้อย่างเป็นรูปธรรม”

“บริษัทฯ ต้องการขยายผลงานวิจัยในหมวดแบตเตอรี่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศไปยังหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ ซึ่งเป็นการช่วยประหยัดงบประมาณในการจัดซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ลดภาระค่าใช้จ่ายการดูแลรักษา ตลอดจนพัฒนาคุณภาพการใช้งานให้คุ้มค่า มีประสิทธิภาพเหนือกว่าสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศในราคาที่ถูกกว่า และมีความปลอดภัยสูงภายใต้มาตรฐานของประเทศไทยและนานาชาติ โดยบริษัทฯ มีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยส่งเสริมผลงานวิจัยไทย ขยายผลสู่ภาคธุรกิจอย่างจริงจังต่อไป” คุณบุษราภรณ์กล่าวเสริม

ส่วนปัญหาหรืออุปสรรคในการขยายผลงานวิจัยไปสู่ระดับอุตสาหกรรม คุณบุษราภรณ์กล่าวว่า “ภาครัฐยังไม่มีนโยบายมุ่งเน้นในการส่งเสริมงานวิจัยทางด้านแบตเตอรี่ที่หลากหลายเพียงพอที่จะช่วยให้เกิดการขยายผลไปสู่ภาคความร่วมมือในเชิงพาณิชย์กับบริษัทเอกชนในประเทศ โดยหากผลักดันให้เกิดเป็นโครงข่ายนวัตกรรมในอุตสาหกรรมของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมก็จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยี สร้างความมั่นคงทางพลังงาน และเศรษฐกิจให้กับประเทศได้”

“จากปัญหาดังกล่าวทำให้ผลงานวิจัยมีความเฉพาะเจาะจงจึงสามารถใช้งานในบางภารกิจเท่านั้น ไม่เหมาะที่จะใช้เพื่อการพาณิชย์ทั่วไป และการเข้ารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีก็เข้าถึงยากรวมถึงภาครัฐเองก็ยังไม่มีการผลักดันในการนำการวิจัยพัฒนามาขยายผลให้เกิดการสั่งซื้อสินค้าในเชิงพาณิชย์ได้อย่างแพร่หลาย ทำให้แม้จะมีงานวิจัยที่ดี แต่เอกชนอาจต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ในแง่ของธุรกิจควบคู่ไปด้วย ประกอบกับผู้บริโภคปลายทางยังรับรู้ถึงการมีอยู่ของเทคโนโลยีของไทยน้อยมาก ดังนั้นจึงมีแต่ความต้องการเทคโนโลยีของต่างชาติเสียส่วนใหญ่ โดยผ่านการรับรู้จากการนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ ส่งผลให้ขนาดตลาดไม่มากพอที่จะคุ้มค่าต่อการลงทุนในอุตสาหกรรม”

คุณบุษราภรณ์ให้ข้อเสนอแนะว่า “ในฐานะที่ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติเป็นตัวกลางในการพัฒนาเทคโนโลยีตามความต้องการของหน่วยงานที่จะนำผลิตภัณฑ์ไปใช้ และศูนย์ฯ เป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังผู้ประกอบการที่จะนำเทคโนโลยีไปผลิต ศูนย์ฯ อาจช่วยผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีความสนใจและมีความเป็นไปได้ที่จะใช้ผลิตภัณฑ์เกิดความต้องการใช้เทคโนโลยีของไทย โดยสร้างการรับรู้ถึงความพร้อมทั้งองค์ความรู้และศักยภาพของผู้ประกอบการไทยที่ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อขยายโอกาสการเติบโตของเทคโนโลยีที่ได้พัฒนาขึ้น และเป็นการช่วยขยายตลาดให้กับผู้รับการถ่ายทอดให้สามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้บนพื้นฐานของเทคโนโลยีที่ได้พัฒนาขึ้น”

“อีกทั้งอาจสร้างความร่วมมือทั้งก่อนการทำวิจัย ขณะทำวิจัย และเมื่อการวิจัยพัฒนาเสร็จสิ้นควบคู่ไปกับบริษัทเอกชนเป้าหมายที่พิจารณาแล้วว่ามีศักยภาพ เพื่อจะทำให้กระบวนการทั้งหมดสามารถขับเคลื่อนได้ในทันทีและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย เป็นการยกระดับผลงานวิจัยต่อยอดไปผลิตในเชิงอุตสาหกรรมและได้ใช้ผลงานวิจัยนั้นๆ ในวงกว้างต่อไป” คุณบุษราภรณ์กล่าวทิ้งท้าย

]]>
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน https://www.entec.or.th/annual-report2021/th/dede/ Wed, 29 Dec 2021 04:00:13 +0000 https://www.entec.or.th/annual-report2021/?p=3139 "กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน"]]> 2,317 Views

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan: AEDP) พ.ศ. 2558-2579 แผนพัฒนาฯ ดังกล่าวเป็นมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 4/2558 เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558 ในการตั้งเป้าหมายสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนร้อยละ 30 ในปี 2579 

ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 2/2559 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B10 เป็นทางเลือกโดยดำเนินการให้เกิดการผลิตไบโอดีเซลตามที่ได้ปรับปรุงคุณภาพแล้วในเชิงพาณิชย์ และดำเนินโครงการนำร่องการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B10 กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จึงได้ริเริ่มโครงการเพื่อผลักดันให้เกิดการใช้ไบโอดีเซลในสัดส่วนที่มากกว่าร้อยละ 7 (หรือ B7) เชิงพาณิชย์ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานงบประมาณประจำปี 2560

พพ. มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นที่ปรึกษาโครงการสนับสนุนเพิ่มสัดส่วนน้ำมันไบโอดีเซลให้สูงขึ้น ในการดำเนินงานมีการจัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการฯ ที่มีผู้แทนทั้งจากภาครัฐ สถาบันวิจัยและสมาคมที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการขยายผลเทคโนโลยีการเพิ่มคุณภาพไบโอดีเซลให้เป็นไปตามเกณฑ์การรับรองของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ตลอดจนการผลิตจริงระดับโรงงานสาธิตในปริมาณกว่าหนึ่งหมื่นลิตรเพื่อผสมในดีเซลในสัดส่วนร้อยละ 10 (B10) สำหรับการทดสอบในรถกระบะจำนวน 8 คัน แต่ละคันวิ่งทดสอบระยะ 100,000 กิโลเมตร และนำร่องใช้ B10 กว่า 99,000 ลิตร ในยานยนต์หลากหลายประเภทกว่า 158 คัน

ผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการนี้คือ ข้อเสนอเชิงเทคนิคสำหรับมาตรฐานไบโอดีเซล B100 ใหม่ที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยอมรับให้ผสมเป็นน้ำมันดีเซลเกรด B10 โดยที่บริษัทผู้ผลิตไบโอดีเซลสามารถดำเนินการได้โดยไม่กระทบสูตรโครงสร้างราคา ต่อมามีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และได้ขยายผลไปยังน้ำมันดีเซล เกรด B20 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2562 

น้ำมันดีเซลเกรด B10 ได้ถูกประกาศเป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานเมื่อ 1 ตุลาคมพ.ศ. 2563 ภายหลังจากที่ได้รับความมั่นใจจากประชาชน โดยมีน้ำมันดีเซลเกรด B7 และ เกรด B20 เป็นทางเลือก การเพิ่มสัดส่วนจาก B7 เป็น B10 ทำให้เพิ่มอุปสงค์ถึงร้อยละ 43 ซึ่งเป็นการรองรับอุปทานผลผลิตปาล์มน้ำมันในประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มให้น้ำมันปาล์มที่เหลือเกินจากการบริโภค ตลอดจนลดการนำเข้าน้ำมันดิบเพื่อมาผลิตเป็นดีเซล

ในประเด็นอนาคตของไบโอดีเซล กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานมีความเห็นว่าแนวโน้มเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่เข้ามาในประเทศ จะส่งผลกระทบโดยตรงกับอุปสงค์เชื้อเพลิงชีวภาพซึ่งเป็นส่วนผสมอยู่ในน้ำมันฟอสซิลสำหรับรถยนต์ ทั้งนี้ในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี สามารถใช้แนวทางในการลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไบโอดีเซล ดังนี้

1) การรักษาสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 ประเทศไทยจะมีการบังคับใช้น้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 ที่มีปริมาณซัลเฟอร์ต่ำกว่า 10 ppm และปริมาณโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon: PAH) ไม่เกินร้อยละ 8 เพื่อรองรับระบบบำบัดไอเสียยูโร 5 แต่ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2564) บริษัทรถยนต์ทั่วไปยังยอมรับการใช้งานสัดส่วนไบโอดีเซลไม่เกิน B7 สำหรับรถยนต์มาตรฐานไอเสียยูโร 5 ดังนั้น จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องหาแนวทางและสร้างความเชื่อมั่นในการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาปัจจุบันหรือ B10 กับรถยนต์มาตรฐานไอเสีย ยูโร 5 อย่างกว้างขวาง เพื่อให้ B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศ ซึ่งจะช่วยรักษาอุปสงค์น้ำมันปาล์มในรถยนต์สันดาปภายใน

2) การหาอุปสงค์น้ำมันปาล์มใหม่ ๆ เช่น การใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอากาศยาน (biojet fuel) ซึ่งเคยมีการทดลองใช้ในประเทศโดยการบินไทยแล้วเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 แต่ไม่ได้มีการผลักดันเชิงพาณิชย์เนื่องจากต้นทุนด้านเทคโนโลยีการผลิตยังสูงอยู่ในเวลานั้น แต่ปัจจุบันแนวโน้มด้านต้นทุนเทคโนโลยีที่ถูกลง พร้อมกับมูลค่าด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้เชื้อเพลิงชีวภาพอากาศยานมีความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ในอนาคตอันใกล้

]]>
โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา (บ้านหม่องกั๊วะ จังหวัดตาก) https://www.entec.or.th/annual-report2021/th/ban-maung-kua/ Wed, 29 Dec 2021 03:52:36 +0000 https://www.entec.or.th/annual-report2021/?p=3135 "โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา (บ้านหม่องกั๊วะ จังหวัดตาก)"]]> 3,012 Views

โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา (บ้านหม่องกั๊วะ) ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก เปิดสอนในระดับปฐมวัย-ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีครูและเจ้าหน้าที่รวม 17 คน และนักเรียน 453 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์กะเหรี่ยง เนื่องจากโรงเรียนตั้งในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารและเป็นป่าสงวนแห่งชาติจึงไม่มีบริการระบบจำหน่ายไฟฟ้า (สายส่งไฟฟ้า) และแม้จะมีระบบการสื่อสารโทรคมนาคมแต่ก็ไม่เสถียร จึงเป็นอุปสรรคต่อการเรียนการสอน 

ด.ต.สมดุลย์ โพอ้น ครูใหญ่ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา (บ้านหม่องกั๊วะ จังหวัดตาก) เล่าว่า “เนื่องจากโรงเรียนอยู่ห่างจากตัวจังหวัดตากประมาณ 337 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารและประสบปัญหาด้านการติดต่อสื่อสาร การเรียนการสอนด้านไอซีที การขาดแคลนกระแสไฟฟ้าและการคมนาคมที่ค่อนข้างลำบาก ทำให้เด็กนักเรียนไม่สามารถเรียนหนังสือต่อได้”

ในปี พ.ศ. 2559 ทีมวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ซึ่งปัจจุบันสังกัดศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ดำเนินโครงการไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบในพื้นที่โครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบผสมผสานชนิดอิสระ (stand-alone หรือ off grid PV/hybrid system) และโทรมาตรหรือการติดตามระยะไกล (telemetry หรือ monitoring) พร้อมระบบไอซีที สำหรับใช้ในกิจกรรมด้านการศึกษาและรองรับการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา กิจกรรมด้านสุขภาพและรองรับการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับการบริการพบแพทย์ทางไกล อุปกรณ์เครือข่ายของระบบสารสนเทศในโรงเรียน ระบบไฟฟ้าส่องสว่างในห้องเรียนคอมพิวเตอร์ และอาคารสุขศาลาพระราชทาน (หรือห้องพยาบาล)

ก่อนเริ่มโครงการ ทีมวิจัยได้ให้ความรู้และทำความเข้าใจแก่ผู้นำชุมชน ครู และชาวบ้าน เกี่ยวกับความสำคัญ ประโยชน์ และสิ่งที่จะได้รับจากโครงการนี้ ด.ต.สมดุลย์ กล่าวว่า “ผู้นำชุมชนและชาวบ้านก็เห็นดีด้วยเพราะจะทำให้ลูกหลานได้มีโอกาสเรียนต่อมีสื่อการเรียนการสอนที่ทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน และมีการติดต่อสื่อสารที่สะดวกสบายและรวดเร็วขึ้น”

“โครงการนี้ทำให้คนในชุมชนได้รับประโยชน์มาก เช่น ครูสามารถใช้คอมพิวเตอร์ สื่อสังคมออนไลน์ และโปรแกรมประยุกต์บนสื่อต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้แก่นักเรียน ส่วนนักเรียนก็สามารถสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้ และเมื่อเจ็บป่วยก็สามารถใช้ติดต่อปรึกษาเพื่อการรักษาพยาบาลเบื้องต้น หรือแจ้งเหตุฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้” ด.ต.สมดุลย์ กล่าว

สำหรับการต่อยอดกิจกรรมจากโครงการดังกล่าว ด.ต.สมดุลย์ กล่าวว่า “สำนักงานประสานงานโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ร่วมกับทีมวิจัย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีจัดอบรมการพัฒนาทักษะอาชีพด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และการทำการตลาดดิจิทัลด้วยการประยุกต์ใช้ไอซีทีให้แก่นักเรียน ศิษย์เก่า และชาวบ้านในชุมชน โดยมุ่งเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบทางการเกษตรในท้องถิ่น เช่น พริก และไม้ไผ่ รวมถึงการออกแบบแบรนด์สินค้า การโฆษณาและการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชน นอกจากนี้ยังจัดอบรมชาวบ้านให้สามารถผลิตชุดไฟฟ้าส่องสว่าง LED อย่างง่ายใช้เอง พร้อมทั้งสอนการใช้งาน การซ่อมแซม และการดูแลรักษาอุปกรณ์เบื้องต้น รวมถึงการกำจัดแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพอย่างถูกวิธี และจัดอบรมการพัฒนาการศึกษาด้วยการประยุกต์ใช้ไอซีทีในการเรียนการสอนอีกด้วย”

โครงการนี้มีหน่วยงานพันธมิตรที่ให้การสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สนับสนุนงบประมาณ ดูแล บำรุงรักษาระบบผลิตไฟฟ้า และจัดอบรมให้ความรู้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ดูแลระบบสื่อสารโทรคมนาคมให้แก่โรงเรียนและชุมชน

เมื่อถามถึงผลกระทบอื่น ๆ ของการนำเทคโนโลยีเข้ามาในชุมชน ด.ต.สมดุลย์ อธิบายว่า “เกิดผลดีต่อชุมชน โดยเทคโนโลยีเป็นสื่อช่วยนำวัฒนธรรมดั้งเดิมในวิถีชีวิตชุมชนกลับมา เช่น การละเล่นรำตง ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านของชาวเขา เผ่ากะเหรี่ยง และการเล่นเตหน่า ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงปกาเกอะญอ เป็นต้น ทั้งนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่เป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงราว 70-80% สามารถพูด อ่าน และเขียนภาษาไทยได้” 

ด.ต.สมดุลย์ กล่าวแสดงความชื่นชมว่า “ทีมวิจัยดูแลเอาใจใส่และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งได้จัดวางระบบ และให้คำแนะนำเป็นอย่างดี โดยเสนอแนะทิ้งท้ายว่า อยากให้มีการพัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อรองรับการเรียนการสอนในอนาคตโดยรวมแล้วมีความพึงพอใจกับโครงการนี้เป็นอย่างมาก”

]]>
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) https://www.entec.or.th/annual-report2021/th/pea/ Wed, 29 Dec 2021 03:50:15 +0000 https://www.entec.or.th/annual-report2021/?p=3131 "การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)"]]> 4,549 Views

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้รับการการสถาปนาตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นรัฐวิสาหกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย ดำเนินธุรกิจหลัก ผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง และจัดจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าให้แก่ ประชาชนในส่วนภูมิภาคทกุ จังหวัดทั่วประเทศไทย ยกเวน้ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ กฟภ. ยังดำเนินธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการพลังงานไฟฟ้า ทั้งในเชิงธุรกิจที่เป็นธุรกิจเสริม และธุรกิจใหม่ 

คุณสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกล่าวว่า “กฟภ. มีพื้นที่รับผิดชอบจำหน่ายไฟฟ้า 74 จังหวัด คิดเป็นร้อยละ 99 ของพื้นที่ประเทศไทย มีจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้า 20 ล้านราย (ราว 58 ล้านคน) มีนโยบายหลักคือ บริการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประชาชนมีไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือน รวมถึงพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล พื้นที่เกาะ แต่บางพื้นที่ กฟภ. ก็ไม่สามารถขยายเขตระบบจำหน่ายไฟฟ้าได้ เช่น พื้นที่ป่าสงวน พื้นที่หวงห้าม เป็นต้น”

“กฟภ. ได้จัดทำแผนงานระยะยาว 5 ปี โดยมีโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายเขตไฟฟ้าให้ทุกครัวเรือนได้มีไฟฟ้าใช้ อีกทั้งยังมีกิจกรรมเพื่อสังคมที่มีงบประมาณรองรับ เช่น โครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การทำฝาย การปลูกป่า และสาธารณสุข” ท่านผู้ว่าฯ สมพงษ์ กล่าว

ในการดำเนินงานร่วมกับทีมวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ท่านผู้ว่าฯ สมพงษ์ เล่าว่า “กฟภ. ได้สนับสนุนงบประมาณและบุคลากรในโครงการไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต สำหรับชุมชนชายขอบ : การจัดการพลังงานทดแทนของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา (บ้านหม่องกั๊วะ จังหวัดตาก) ซึ่งอยู่ในพื้นที่โครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี โดยสำนักงาน กฟภ. จังหวัดตาก ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ให้การอบรมและการบำรุงรักษาระบบผลิตไฟฟ้าแก่ผู้นำชุมชนและตัวแทนหมู่บ้าน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้ แต่ในกรณีที่เกิดปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถแก้ไขได้เอง เจ้าหน้าที่ กฟภ. จะเข้ามาดำเนินการแก้ปัญหาให้ ซึ่งการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ กฟภ. กับชุมชนมีความราบรื่นดีเพราะเจ้าหน้าที่ กฟภ. เป็นคนในพื้นที่ หรือหากติดขัด ชุมชนก็มีล่ามช่วยสื่อสารให้”

เมื่อถามถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการในลักษณะนี้เกิดอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน และมีการขยายผล ท่านผู้ว่าฯ สมพงษ์กล่าวว่า “กฟภ. มกี ารจดั ทำ โครงการขยายเขตไฟฟ้าใหบ้านเรือนราษฎรรายใหม่ เพื่อให้ประชาชนมีไฟฟ้าใช้ในทุกครัวเรือนและพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนตามชายขอบได้มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งหากมีทะเบียนบ้านที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่หวงห้าม พื้นที่ป่าสงวน หรือพื้นที่ลุ่มน้ำ ชั้น 1 เอ ก็สามารถขอใช้ไฟฟ้าได้ และเมื่อมีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าแล้วก็อยากให้ชุมชนช่วยกันดูแล หากเกิดปัญหาอยากให้แก้ไขในเบื้องต้นก่อน เพราะการคมนาคมที่ค่อนข้างลำบากก็อาจทำให้การเข้าไปแก้ไขใช้เวลานาน”

ท่านผู้ว่าฯ สมพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “การทำงานร่วมกับ ENTEC ที่ผ่านมามีความราบรื่นดี กฟภ. ยินดีให้ความร่วมมือ และพร้อมสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ของ สวทช. ต่อไป เพราะที่ผ่านมา กฟภ. และ สวทช. มีโครงการที่มีความร่วมมือกันอยู่มาก ในอนาคตอยากเห็นงานวิจัยที่มีคุณภาพและใช้งานได้จริง”

]]>